วัสดุที่ใช้ในการผลิตฉาบนั้นผลิตจาก Copper Alloy ซึ่งเป็นโลหะผสมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยใช้มา เพราะว่าเป็นโลหะผสมที่สามารถจะตีและตัดให้เป็นรูปร่างต่างๆ ได้ง่าย เพียงใช้แค่เครื่องมือที่พื้นๆ เท่านั้น นอกจากนี้ทองแดง (Copper) ยังมีสีสันที่โดดเด่น และมีคุณสมบัติในการให้เสียงที่หลากหลายซึ่งเป็นสิ่งทีสำคัญที่สุดในการผลิตฉาบ
Copper Alloy ที่ใช้ในการผลิตฉาบประกอบด้วย ทองแดง Copper (Cu) และส่วนประกอบอื่นอย่างน้อยอีกหนึ่งส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น นิกเกิล Nickel (Ni) และ สังกะสี Zinc (Zn) ในโลหะผสม (Alloy) ยังมีธาตุอื่นๆ ปนอยู่ด้วย เช่น เงิน แต่ว่าธาตุเหล่านี้จะถูกตรวจสอบอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเสียงของฉาบ |
ในโลหะผสม (Alloy) จะมีธาตุปนกันอยู่ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป แต่ว่าธาตุแต่ละชนิดจะไม่มีการรวมตัวกันในทางเคมี โดยที่ธาตุเหล่านี้อยู่ร่วมกันเป็น microscopic grain structure หรือจะสรุปได้ว่า การหลอมละลาย และการรวมตัวกันของธาตุทำให้เกิดโลหะผสมขึ้น โดยในช่วงนี้การควบคุมของอุณหภูมิและความร้อนจะสามารถกำหนด grain structure ที่เราต้องการได้
|
เมื่อโละหะผสมเย็นตัวลง ไม่ว่าจะมีรูปร่างจะหนา กลม สี่เหลี่ยม เป็นเส้นยาว หรือว่าทรงไหนก็ตาม โลหะผสมจะถูกนำมารีดด้วยแรงอัดซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดขนาดของลาย (internal grain size) และ ความแข็ง (hardness) ของโลหะผสม โดยระหว่างที่รีดนี้โลหะผสมจะได้รับความร้อนและปล่อยให้เย็นลง โดยขั้นตอนนี้จะถูกทำซ้ำไปซ้ำมา กระบวนการที่กล่าวมานี้ เรียกว่า Annealing
จุดประสงค์หลักของกระบวนการนี้ก็คือการป้องกันไม่ให้โลหะผสมเปราะ แตกง่าย และ เพิ่มความแข็งแรงให้แก่โลหะผสมด้วย หลังจากนั้นโลหะที่ได้จะถูกตัดเป็นแผ่นกลมเพื่อที่จะนำไปทำฉาบในขั้นตอนต่อไป |
คุณสมบัติของเสียงที่ได้จากโลหะผสมนั้นมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยปัจจัยหลักจะมาจากส่วนผสมของโลหะที่อยู่ในโลหะผสมนั้น โดยส่วนใหญ่โลหะที่ผสมอยู่ในฉาบจะประกอบด้วย ทองแดง (Copper) และ ดีบุก (Tin) โดยเมื่อธาตุทั้งสองชนิดนี้ผสมกันจะทำให้เกิด Bronze Alloy ขึ้น อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับเสียงของโลหะผสมคือ ขนาดของลายของโลหะผสม (grain size), โครงสร้างของลายของโลหะผสม (grain structure), ความแข็งของโลหะผสม (alloy hardness)
โดยคุณสมบัติเหล่านี้จะได้มาจากการหล่อ (casting), การรีด (rolling) และ การ annealing โดยปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะมีผลโดยตรงต่อเสียงของโลหะผสม ส่วนผสมบางอย่างอาจจะให้เสียงที่ดี แต่ว่าโลหะผสมอาจจะเปราะบางเกินไป ทำให้แตก ร้าว หรือบุบได้ง่าย ในทางตรงกันข้าม ส่วนผสมที่ทำให้โลหะผสมมีความคงทนและแข็งแรงมากๆ จะทำให้โลหะผสมมีเสียงที่คุณภาพต่ำ |
ศิลปในการผลิตฉาบอยู่ทีการเลือกใช้โลหะที่เป็นส่วนผสมให้เหมาะสมเพื่อที่จะได้ฉาบที่เสียงดีและมีความคงทนในเวลาเดียวกัน โดยกระบวนการเหล่านี้แต่ละบริษัทฉาบต่างมีสูตรที่เป็นความลับของตัวเอง และนั่นก็รวมถึงของเพ้สตี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะว่าฉาบเสียงจะดียังขึ้นอยู่กับการกำหนดรูปร่างของฉาบโดยการทำให้เกิดรูปร่างโดยการตีเพื่อขึ้นรูป (shaping through hammering) และ การทำให้เรียวลงโดยกระบวนการกลึง (tapering through lathing) ของโลหะผสมแผ่นกลมเพื่อที่จะให้ได้ทรงของฉาบที่ต้องการ โดยในกระบวนการนี้ ความถี่ และ เสียงฮาร์โมนิคที่ต้องการจะถูกเลือกออกมาจากคุณสมบัติของเสียงที่อยู่ในโลหะผสม |
ความรู้ของเพ้สตี้เกี่ยวกับโลหะผสมที่ใช้ในการผลิตฉาบมาจากการสั่งสมประสบการณ์ การทดลอง และ ค้นคว้าวิจัย เพ้สตี้ไม่เคยหยุดยั้งที่จะค้นคว้าหาสิ่งใหม่ๆ ในส่วนผสม และคุณสมบัติของโลหะผสม โดยที่เราได้พัฒนาและค้นคว้าวิจัยร่วมกับนักโลหะวิทยาระดับโลก เราเป็นผู้นำในการคิดค้นส่วนผสมและขั้นตอนการผลิตที่เป็นนวัตกรรม โดยเราได้คิดค้นโลหะผสมใหม่ๆ ขึ้นมามากมายสำหรับการผลิตฉาบ รวมถึงหลายๆ ชนิดของโลหะผสมที่เราได้ทำการจดสิทธิบัตรด้วย
|
เพ้สตี้ใช้วัตถุดิบ (โลหะผสมที่กลมและแบน) จากหลายๆ โรงหล่อ และโรงหลอมโลหะ เพ้สตี้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการเลือกผู้ผลิตที่มีทักษะและความชำนาญ และต้องเป็นผู้ผลิตที่มีขนาดใหญ่ เพราะว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ผลิตขนาดเล็กจะมีความสามารถในการหล่อและรีดเพื่อให้ได้วัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตฉาบเป็นจำนวนมากๆ และมีคุณภาพเพียงพอ และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าขบวนการผลิตของเพ้สตี้เริ่มต้นตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน และเป็นการรับประกันถึงคุณภาพและมาตรฐานของฉาบทุกๆ ใบที่เพ้สตี้ผลิตขึ้น
|
Traditional Bronze
(CuSn20 – 80% ทองแดง, 20% ดีบุก) ทองสัมฤทธิ์ (Bronze Alloy) เป็นโลหะผสมที่เก่าแก่ที่สุด โดยมีการเริ่มใช้มากันเป็นพันๆ ปี ตั้งแต่ยุคทองสัมฤทธิ์ (Bronze Age) เป็นโลหะผสมที่ก้องกังวาน แต่ต้องการขั้นตอนการ annealing ซ้ำๆ กันหลายๆครั้ง เพราะว่าโลหะผสมชนิดนี้จะไม่ค่อยคงทนในตัวของมันเอง โดยในช่วงแรกๆ เพ้สตี้อาจจะใช้โลหะชนิดนี้ในการผลิตฉาบ และจากเอกสารบ่งบอกว่าราได้เริ่มใช้โลหะชนิดนี้ในปี 1959 ในการผลิตรุ่น Formula 602 |
2002 Bronze
(CuSn8 – 92% ทองแดง, 8% ดีบุก) ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 และต้นทศวรรษที่ 1960 เพ้สตี้ได้เล็งเห็นถึงอิทธิพลของดนตรีแนวใหม่ที่ใช้ไฟฟ้าในการขยายเสียง เพ้สตี้จึงได้คิดค้นโลหะผสมชนิดใหม่ขึ้นมา การเข้ามาของดนตรีแนวร็อคแอนด์โรลว์ (Rock & Roll) บีท (Beat) และ ร็อค (Rock) ซึ่งให้เสียงที่มีความถี่และความดังที่แตกต่างจากดนตรีในแนวอคูสติก (acoustic) อย่างสิ้นเชิง ในปี 1963 เพ้สตี้ได้ทำการค้นคว้าวิจัยและค้นพบว่าการใช้ดีบุก 8% นั้นเหมาะสมที่สุดกับดนตรีในยุคนั้น และในปี 1967 เพ้สตี้ได้สร้างรุ่น Giant Beat ขึ้น และได้กลายมาเป็นรุ่น 2002 ในปี 1971 และนั่นก็ทำให้โลหะชนิดนี้ถูกเรียกว่า “2002 Bronze” และเป็นต้นกำเนิดของฉาบที่เป็นตำนานรุ่น 2002 |
Signature Bronze
(Proprietary Mixture) ด้วยการพัฒนาการของดนตรีแนวใหม่ๆ ในยุคทศวรรษที่ 1950, 1960 และ 1970 และตามมาด้วยการผสมผสานกันของดนตรีหลากหลายแนวในยุค 1980 สาเหตุนี้เองที่ทำให้มือกลองเล่นดนตรีในแนวที่หลากหลายมากขึ้นซึ่งนำมาสู่ความต้องการฉาบที่มีความหลากหลายมากขึ้นเช่นกัน และนี่เองที่ทำให้เพ้สตี้ได้เริ่มค้นคว้าวิจัยโลหะผสมชนิดใหม่อีกครั้ง และในปี 1989 เพ้สตี้ได้คิดค้น Signature Bronze เป็นผลสำเร็จ และเป็นโลหะผสมที่ให้เสียงที่เต็ม อิ่ม และกว้างกว่าโลหะผสมที่เราเคยผลิตขึ้นมา |
Nickel Silver
(NS12 – 88% ทองแดง, 12% นิกเกิล) Nickel Silver เป็นโลหะผสมที่ก้องกังวาน ให้เสียงที่อิ่มเต็มย่านความถี่ เราใช้โลหะชนิดนี้ส่วนมากในทศวรรษที่ 1940 และ 1950 แต่ว่าหลังจากนั้นเราได้เปลี่ยนเป็นมาใช้ bronze ในการผลิตฉาบแทน แต่เพราะว่าคุณสมบัติของเสียงที่ดี เรายังคงใช้โลหะผสมชนิดนี้อยู่สำหรับการผลิตฆ้เอง (Gong) |